ระบบ IoT คืออะไร? พลิกโฉมโรงงานด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกการดำเนินธุรกิจ ระบบ IoT (Internet of Things) เป็นกุญแจสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตด้วยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ด้วยการเชื่อมโยงอุปกรณ์ เครื่องจักร และระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูล ควบคุมการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความสามารถในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจ
IoT คืออะไร? ความหมายและความสำคัญของระบบ IoT
ระบบ IoT หรือ Internet of Things คือเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิมให้กลายเป็น โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่ประยุกต์ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการทำงาน เพื่อสร้างการตัดสินใจที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบ IoT ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์และราบรื่น ด้วยการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูล ซึ่งส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน
องค์ประกอบหลัก และการทำงานของระบบ IoT
ระบบ IoT (Internet of Things) ทำงานผ่านการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อส่ง รับ และประมวลผลข้อมูลแบบอัตโนมัติ ด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
-
Devices อุปกรณ์ในระบบ IoT เช่น เครื่องจักร หุ่นยนต์ หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
-
Sensors หรือเซนเซอร์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น การสั่นสะเทือน หรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของเครื่องจักร
-
Connectivity หรือระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ที่ถูกติดตั้งเพื่อส่งต่อข้อมูลจากอุปกรณ์สู่ระบบประมวลผลในระบบ IoT
-
Data Processing หรือศูนย์กลางประมวลผลกลางของระบบ เช่น Cloud หรือ Edge Computing ที่ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์
-
User Interface คือส่วนแสดงผล บนระบบ IoT ที่แสดงข้อมูลเชิงลึกในกระบวนการผลิต เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปใช้ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย
ก้าวเข้าสู่การทำงานยุคดิจิทัล ด้วยโซลูชันของเรา คลิก
ประโยชน์ของการใช้งานระบบ IoT ในอุตสาหกรรม
การติดตั้งระบบ IoT ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้โรงงานได้รับประโยชน์หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น
ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน
ระบบ IoT คือกุญแจที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการเก็บข้อมูลการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ ทั้งความเร็วในการผลิต ช่วงเวลาที่เครื่องหยุดทำงาน และอัตราการเกิดของเสียจากการผลิต เพื่อให้บุคลากรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วิเคราะห์ค่า OEE (Overall Equipment Effectiveness) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกประสิทธิภาพของอุปกรณ์การผลิต
ลดต้นทุน เพิ่มกำไร
ด้วยความสามารถในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแม่นยำ ทำให้ระบบ IoT ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้านต่าง ๆ ทั้งการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง ของเสียเหลือใช้ หรือค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่ซ้ำซ้อน ด้วยการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านระบบอัตโนมัติ
ลด Downtime
ระบบ IoT ยังมีฟังก์ชันการแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ช่วยให้บุคลากรในอุตสาหกรรมสามารถแก้ไขปัญหาก่อนเครื่องจักรหยุดทำงาน ยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น และลดการสูญเสียรายได้ ซึ่งเกิดจากการหยุดทำงานของเครื่องจักรโดยไม่จำเป็น
เพิ่มความปลอดภัยข้อมูล
การติดตั้งระบบ IoT ช่วยให้องค์กรสามารถรักษาความปลอดภัยของระบบ IT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเข้าถึงข้อมูลภายใต้ระบบ IoT จำเป็นต้องใช้รหัสข้อมูลขั้นสูงและระบบควบคุมการเข้าถึง (Access Control) ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญขององค์กรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบวงกว้างต่อธุรกิจ
การเชื่อมโยงกับระบบ ERP และ MES
การผสานระบบ IoT และ ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ ระบบ MES (Manufacturing Execution System) เข้าด้วยกัน คือส่วนสำคัญที่ช่วยให้ท่านสามารถมองเห็นข้อมูลการผลิตทุกภาคส่วนแบบเรียลไทม์ ผ่านการรายงานผลบน Dashboard ที่เข้าใจง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบ ERP ติดต่อเราได้ที่ https://aresth.co.th/contactus
ตัวอย่างการใช้งานระบบ IoT ในอุตสาหกรรมการผลิต
ระบบ IoT ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความปลอดภัยในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น
เพื่อการตรวจสอบและเฝ้าระวัง
ในอุตสาหกรรมการผลิตระบบ IoT มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ เฝ้าระวังสภาพแวดล้อมและสถานะของเครื่องจักรในโรงงานที่มีผลต่อกระบวนการผลิต เช่น
-
ระบบตรวจสอบอุณหภูมิและความชื้น ควบคุมและแจ้งเตือนความผิดปกติของสภาพแวดล้อมภายในโรงงานได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์
-
ระบบติดตามพลังงาน ที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์ IoT เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์จุดที่มีการใช้พลังงานเกินที่อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า
-
ระบบตรวจจับความผิดปกติ ผ่านการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ และใช้ ระบบ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition System) ในการแสดงผลและแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติของเครื่องจักร เพื่อลดช่วงเวลาการหยุดทำงานที่ไม่คาดคิด
เพื่อการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของระบบ IoT ในโรงงานอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น
-
ระบบตรวจสอบสภาพเครื่องจักร ที่ติดตั้งเซนเซอร์ต่าง ๆ เพื่อตรวจวัดสภาพเครื่องจักร และสถานะการทำงานของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง
-
ระบบวิเคราะห์การสั่นสะเทือน เพื่อประเมินความผิดปกติต่าง ๆ ของเครื่องจักร ก่อนเกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต
-
ระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนเมื่อเครื่องจักรเริ่มมีสัญญาณผิดปกติ ทำให้บุคลากรสามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้อย่างเหมาะสม
เพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
ในด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ระบบ IoT ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการวัสดุและสินค้าคงคลัง เช่น
-
ระบบติดตามสินค้าคงคลังด้วยการใช้ RFID และเซนเซอร์ที่ตรวจสอบจำนวนและตำแหน่งสินค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อลดความผิดพลาดในการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าแต่ละชิ้น
-
ระบบตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นใจในวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และสินค้าที่ส่งมอบให้กับผู้บริโภค
-
ระบบบริหารการขนส่ง เชื่อมต่อข้อมูลการจัดส่งแบบเรียลไทม์ ช่วยให้บุคลากรสามารถวางแผนและติดตามการขนส่งได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
เพื่อการควบคุมกระบวนการผลิต
ระบบ IoT ยังมีบทบาทสำคัญในการวางแผนกระบวนการ ควบคุมการผลิต และการควบคุมคุณภาพ ของสินค้า ดังนี้
-
ระบบควบคุมการผลิตอัตโนมัติ โดยใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์และระบบ IoT เพื่อปรับกระบวนการผลิตให้มีความเหมาะสมและแม่นยำ
-
ระบบปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ระบบ IoT สามารถจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อค้นหาจุดบกพร่องและแนวทางการปรับปรุงกระบวนการผลิต
-
ระบบควบคุมคุณภาพสินค้า ผ่านการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการผลิต เพื่อลดของเสียและเพิ่มคุณภาพสินค้า
ยกระดับโรงงานด้วยการบูรณาการระบบ IoT และ MES
ถ้าหากท่านต้องการใช้งานระบบ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การผสานการทำงานร่วมกับระบบ MES (Manufacturing Execution System) ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบกลางในการจัดการการผลิตแบบเรียลไทม์ คือเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแปลงข้อมูลจากระบบ IoT เพื่อการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ทั้งการจัดลำดับงาน การควบคุมการผลิต การบันทึกประวัติการผลิต และการติดตามคุณภาพ เช่น
-
เชื่อมโยงและแปลงข้อมูลจาก IoT ให้เกิดประโยชน์เชิงธุรกิจแบบ Real-Time ทั้งข้อมูลด้านอุณหภูมิ ความชื้น รอบการทำงาน หรือสถานะเครื่องจักร
-
เพิ่มความแม่นยำในการวางแผนและจัดลำดับการผลิตด้วยระบบการแจ้งสถานะการทำงานของเครื่องจักร
-
ลดต้นทุนจากของเสียและการหยุดเครื่องโดยไม่จำเป็น ผ่านการตรวจจับสัญญาณผิดปกติและแจ้งเตือนล่วงหน้า เช่น ความสั่นสะเทือนที่ผิดค่า
-
ตรวจสอบข้อมูลแบบย้อนกลับได้อย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่เริ่มจนจบ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ปัญหาและตรวจสอบสาเหตุ
-
เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Quality Control) ด้วยระบบตรวจสอบค่าควบคุมคุณภาพที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา
-
ยกระดับการรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล ด้วย Dashboard ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อช่วยผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
สนใจยกระดับกระบวนการผลิตด้วยระบบ MES อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://aresth.co.th/products/argo-extra
บทสรุป ยกระดับกระบวนการผลิตในโรงงานด้วยระบบ IoT
การนำระบบ IoT มาใช้งานในอุตสาหกรรมการผลิตเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของโรงงานยุคใหม่ ทั้งในการลดต้นทุน ลด Downtime เพิ่มความปลอดภัย และเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เพื่อยกระดับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง
ARES เราคือบริษัทที่ให้บริการด้านโซลูชันองค์กร เชี่ยวชาญการออกแบบและติดตั้งระบบซอฟต์แวร์สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต เราพร้อมวิเคราะห์ความต้องการเฉพาะของธุรกิจท่าน เพื่อออกแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์ และสร้างศักยภาพการทำงานให้กับองค์กรของท่านในทุกภาคส่วน
ติดต่อเรา
คุณสามารถติดต่อเราเพื่อดู DEMO ได้ที่ Contact Us
หรือสอบถามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ตามช่องทางด้านล่าง
โทร 0633253640 หรือ 02-6863000 ต่อ 3042
Email: support@aresth.co.th